Trasnasfer Fasctor กับโรคเอดส์
Trasnasfer Fasctor กับการดูแลโรคเอดส์
การทำงานของ Transfer Factor
กับการดูแลโรคเอดส์นั้น Transfer Factor จะทำหน้าที่ในการเสริมสร้างค่า
CD4+ ภายในร่างกาย ซึ่งจะทำการปรับค่าให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ
ซึ่งผิดกับยาต้านไวรัสเอดส์
ซึ่งจะทำหน้าที่เพียงการควบคุมไม่ให้แสดงอาการของโรคออกมาเพียงเท่านั้น
แต่จะไม่ได้ช่วยเพิ่มค่าของ CD4+ นอกจากนี้ Transfer Factor
ยังจะทำหน้าที่ใน CD4+ ในการชี้เป้าให้กับเซลล์เม็ดเลือดขาว NK Cell
เข้าไปทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อๆไวรัสในระบบ DNA
และยังเป็นตัวเพิ่มและปรับสภาพของระบบภูมิคุ้มกันให้กลับมาแข็งแรงเหมือน
เดิม ซึ่งระบบภูมิคุ้มกันนี้เป็นสาเหตุของการเกิดโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง
โดยปกติแล้วผู้ป่วยโรคเอดส์นั้นจะเสียชีวิต โดยภาวะโรคแทรกซ้อนมากกว่าเสีย
ชีวิตจากโรคเอดส์โดยตรง
เนื่องจากเมื่อระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอหรือบกพร่องจะทำ
ให้ร่างกายได้รับเชื้อโรคอย่างง่ายดาย
และไม่สามารถทำลายสิ่งแปลกปลอมภายในร่างกายได้ แต่การได้รับ Transfer
Factor เข้าไปช่วยนี้ จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำหน้าที่ได้ตามปกติ
ทำให้ไม่เกิดภาวะโรคแทรกจากโรคอื่นๆได้
การสังเกตุตนเองว่าติดเชื้อเอชไอวีหรือไม่ การติดเชื้อเอชไอวีมีลักษณะเป็นอย่างไร
.ภายหลังการได้รับเชื้อเอชไอวี
ร่างกายต้องใช้เวลาในการสร้างปฏิกิริยาตอบสนองต่อเชื้อสักระยะหนึ่ง
ในปัจจุบันการวินิจฉัยว่าติดเชื้อหรือไม่
เราจะไม่ได้ตรวจหาเชื้อเอชไอวีโดยตรง
แต่จะเป็นการตรวจหาว่าร่างกายว่ามีปฏิกิริยาต่อเชื้อหรือไม่ โดยการตรวจหา
แอนติบอดีของเชื้อเอชไอวี (Anti-HIV antibody)
ซึ่งการตรวจดังกล่าวอาจให้ผลลบได้ในกรณีที่ได้ รับเชื้อมาใหม่ ๆ
เนื่องจากร่างกายยังไม่ได้สร้างปฏิกิริยาตอบสนอง (ควรตรวจหาอีกครั้ง
หลังจากผ่านความเสี่ยงไปแล้วสัก 3 เดือนขึ้นไป )
ภายหลังการรับเชื้อเอชไอวี บางรายอาจไม่มีอาการใด ๆ เลย
บางรายอาจมีอาการเหมือนการติดเชื้อไวรัสทั่ว ๆ ไป เช่น มีไข้ มีผื่นตามตัว
มีต่อมน้ำเหลืองโต มีอาการเจ็บคอ โดยอาการเหล่านี้มักจะกินเวลาสั้น ๆ
และหายไปได้เอง แล้วหลังจากนั้น ผู้ป่วยจะไม่มี อาการใด ๆ เลย
อาการข้างต้นจะเหมือนหรือคล้ายกับการติดเชื้อหวัดธรรมดา
ทำให้บางรายไม่ได้สังเกตุ ไม่ใส่ใจ
หรือบางรายอาจคิดว่าเป็นแค่ไข้หวัดทั่วๆไป
เลยทำให้การสังเกตุว่าติดเชื้อเอชไอวีหรือไม่ จากอาการข้างต้นเป็นไปได้ยาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น