วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ภูมิคุ้มกันคืออะไร



การที่เราไม่เจ็บป่วยง่ายๆ เพราะร่างกายมี ระบบภูมิคุ้มกัน หรือภูมิต้านทาน คอยปกป้องเราอยู่ ระบบภูมิคุ้มกันเป็นกลไกการป้องกันตนเองอย่างหนึ่งของร่างกาย เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกายและอาจเป็นโทษ สิ่งแปลกปลอมนอกจากจุลินทรีย์แล้ว ได้แก่ สารเคมีจากธรรมชาติ เช่น จากพืช จากอาหาร หรือสารเคมีที่มนุษย์สร้างขึ้น ตลอดจนฝุ่นละออง ขนสัตว์ ละอองเกสรดอกไม้ต่างๆ ระบบภูมิคุ้มกันก็จะออกมาต่อต้านหรือทำลายสิ่งแปลกปลอมนั้น ร่างกายจึงอยู่ได้อย่างปกติสุข แต่หากในกรณีที่การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันประสบความล้มเหลว ร่างกายก็จะถูกคุกคามด้วยโรคภัยไข้เจ็บ เช่นโรคภูมิแพ้ และแพ้ภูมิชนิดต่างๆ เป็นต้น
MacrophageCell-mediated Immune / Antibody /       

ภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติอาจก่อให้เกิดโรคได้ 3 ประเภท

1. ภูมิคุ้มกันเพี้ยนไวในร่างกาย (Autoimmune Problem) โรคเบาหวานชนิดที่ 1  โรคแพ้ภูมิตัวเอง โรค SLE , โรครูมาตอยด์ โรคสะเก็ดเงิน การอักเสบในทางเดินอาหาร
2. ภูมิคุ้มกันไวเกินไปนอกร่างกาย เป็นสาเหตุโรคภูมิแพ้  ลมพิษ , หอบหืด , ไซนัสอักเสบ
3. ภูมิคุ้มกันต่ำ มีความเสี่ยงต่อ โรคเอดส์, มะเร็ง, โรคตับอักเสบ, วัณโรค, โรคติดเชื้อจากแบคทีเรีย, โรคจาก เชื้อไวรัส, เชื้อรา พาราไซด์

การตอบสนองต่อเชื้อโรคของภูมิคุ้มกัน

ในแต่ ละคนจะมีวิธีการป้องกันตนเอง ที่ธรรมชาติให้มานั้น ค่อนข้างใกล้เคียงกัน แต่ความสมบูรณ์และประสิทธิภาพในการทำงานของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันออกไป ระบบที่ใช้เพื่อทำหน้าที่ป้องกันโรคของร่างกายนี้เรียกว่า ระบบภูมิคุ้มกัน (Immune system) ส่วนประกอบหลักของระบบภูมิคุ้มกันก็คือ เม็ดเลือดขาว ซึ่งก็จมีหลายชนิดแบ่งหน้าที่การทำงานกันออกไป ตามชนิดและหน้าที่ที่ทำกันเป็นประจำ .

ภูมิคุ้มกันมีกลไกการกลืนกิน (Phagocytosis)


กระบวนการฟาโกไซโทซิส จะมีเซลล์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อการนี้โดยเฉพาะเรียกว่า ฟาโกไซต์ (Phagocytes) ซึ่งจะทำหน้าที่ในการกำจัดสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย ซึ่งก็คือการกำจัดเชื้อโรคนั่นเอง สิ่งแปลกปลอมที่จะถูกกำจัดโดยวิธีการฟาโกไซโทซิสได้แก่ แบคทีเรีย, เซลล์เนื้อเยื่อที่ตายแล้ว และอนุภาคแร่ธาตุขนาดเล็ก เซลล์ที่ทำหน้าที่ ได้แก่ Neutrophil,Monocyte, Macrophage เป็นต้น

 

    จุดสำคัญที่สุดในกระบวนการฟาโกไซโทซิสก็คือความสามารถในการควบคุมการอักเสบ ของมัน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับอนุภาคที่ถูกโอบกิน โดยกระบวนการฟาโกไซโทซิสนี้สามารถบรรเทาอาการอักเสบได้ หรือในกรณีของเซลล์ที่ตายแบบอะพอพโทซิส จะช่วยชะลอการหายอักเสบของเซลล์เหล่านั้น กระบวนการฟาโกไซโทซิสยังมีส่วนเกี่ยวข้องในการต้านทางต่อภูมิคุ้มกัน ซึ่งจะช่วยป้องกันการอักเสบกับส่วนต่างๆ ของร่างกายที่เป็นปกติ โดยการกำจัดสิ่งแปลกปลอมก่อนที่แอนติบอดี้จะกำจัดซึ่งจะทำให้เกิดอาการ อักเสบ


กลไกใช้ภูมิคุ้มกันแบบสารน้ำ (Humoral Immune Response )

  Antibody  

       กลไกในกระแสเลือด และกระแสน้ำทั่วร่างกาย โดยอาศัยการสร้าง Antibody(Ab)จาก B-Lymphocyte แอนติบอดี (Antibody) หรือ อิมมิวโนโกลบูลิน (immunoglobulin) เป็นโปรตีนขนาดใหญ่ในระบบภูมิคุ้มกันที่ ร่างกายมนุษย์หรือสัตว์ชั้นสูงอื่นๆ สร้างขึ้น ที่มีหน้าที่ตรวจจับและทำลายฤทธิ์สิ่งแปลกปลอมต่อร่างกาย เช่น แบคทีเรีย และไวรัส แอนตีบอดี้แต่ละชนิดจะจดจำโมเลกุลเป้าหมายที่จำเพาะของมันคือ แอนติเจน (Antigen) โครงสร้างโมเลกุลของแอนติบอดี้อยู่ในรูปตัววาย (Y shape)ประกอบด้วยสายพอลีเพปไทด์ 4 เส้น คือ เส้นหนัก (heavy chain) 2 เส้น และเส้นเบา (light chain) 2 เส้น โดยเปรียบเทียบจากขนาดน้ำหนักโมเลกุลส่วนที่โคนของตัววายของโมเลกุล แอนติบอดี เรียกว่า constant region จะบ่งบอก
     ถึงชนิดของแอนติบอดีว่าเป็นคลาสไหน เช่น IgG, IgA, IgM, IgD, IgE เป็นต้น โดยที่ส่วนปลายของตัววายซึ่งเป็นตำแหน่งที่ใช้จับกับแอนติเจนจะมีความหลาก หลายมากไม่เหมือนกันในแอนติบอดี้จำเพาะต่อแอนติเจนแต่ละชนิด ซึ่งเรียกว่า Variable region
ที่มา: วิกิพีเดีย/แอนติบอดี
 ภูมิคุ้มกันมีกลไกการทำลายโดยอาศัยเซลล์ (Cell-mediated Immune Response) 
  Cell-mediated Immune Response หมายถึง ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นจากเซลล์ ซึ่งได้แก่ T killer cell ตัว T killer cell นี้ จะสามารถกำจัดแอนติเจนได้ด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตามลิมโฟไคน์ ( Lymphocytes )ที่เกิดขึ้นก็มีส่วนช่วยในการกำจัดแอนติเจนด้วยเป็นอย่างมาก โดยจะออกฤทธิ์ดึงดูดให้โมโนซัยท์ (monocyte) ออกจากกระแสโลหิต และเข้าสู่เนื้อเยื่อบริเวณที่มีแอนติเจนต้นเหตุอยู่ เมื่อโมโนซัยท์ที่เข้ามาอยู่ในเนื้อเยื่อเปลี่ยนแปลงไปเป็น แมคโคฟาจ ( Macrophage ) แล้ว ลิมโฟไคน์จะออกฤทธิ์กระตุ้นให้แมคโคฟาจ ที่มีความสามารถในการจับกินสิ่งแปลกปลอมได้เก่งยิ่งขึ้น

ภูมิคุ้มกันที่ดี ต้องรู้จักเชื้อโรคโดยเร็ว

       สิ่งแปลกปลอมที่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับมนุษย์เป็นอย่างมากคือ จุลชีพ  ซึ่งได้แก่ แบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา รวมทั้งพวกปาราสิต การที่มีจุลชีพมาอยู่ที่ร่างกายเราเรียกว่ามีการติดเชื้อ (Infection) ซึ่งอาจจะทำให้เจ้าของร่างกายเกิดเป็นโรคติดเชื้อได้ ถ้าจุลชีพนั้นเป็นพวกที่มีความสามารถทำให้เกิดโรค และถ้าจำนวนจุลชีพที่ร่างกายได้รับมากจนภูมิคุ้มกันแบบไม่จำเพาะ ไม่สามารถกำจัดมันให้หมดไปก่อน และบุคคลนั้น ยังไม่มีภูมิคุ้มกันแบบจำเพาะต่อเชื้อโรค แม้ว่าจุลชีพพวกนั้นจะเป็นพวก non-pathogenic หรือพวกไม่ทำให้เกิดโรคในคนทั่ว ๆ ไปก็ตาม บุคคลนั้นได้เกิดมีความบกพร่องของภูมิคุ้มกันแบบจำเพาะหรือไม่จำเพาะบุคคลนั้นก็จะเกิดเป็นโรคหรือติดเชื้อโรค
       ในกรณีที่ร่างกายไม่เคยได้รับหรือรู้จักกับจุลชีพชนิดนั้นมาก่อน การสร้างแอนติบอดี้, การออกมาของ T killer cell และแมคโครฟาจ(Macrophage) แม้มีความสามารถในPhagocytosis สูง แต่ก็จะเกิดขึ้นได้ช้ามาก จนทำให้จุลชีพขยายพันธ์เพิ่มจำนวนมาก จนทำให้เกิดโรคขึ้นเสียก่อน แต่ถ้าร่างกายเคยได้รับหรือได้พบกับจุลชีพชนิดนั้นมาก่อนแล้ว ภายในร่างกายจะมีข้อมูลสร้างเป็นแอนติบอดี้ และ T killer cell ที่จำเพาะต่อจุลชีพพร้อมอยู่ และจะทำหน้าที่ของมันได้ทันที ที่มีเชื้อเข้ามาสู่ร่างกาย นอกจากนั้นในร่างกายที่เคยได้รับแอนติเจน ชนิดไหนมาก่อนจะมีลิม โฟซัยท์ที่รู้จักแอนติเจนนั้นแล้ว ที่เราเรียกว่า Memory cell ซึ่งเมื่อได้เจอกับแอนติเจนชนิดเดิมอีก มันก็จะเปลี่ยนแปลงและแบ่งตัวโดยเร็ว ทำให้เกิดมีแอนติบอดี้ T killer cell และแมคโครฟาจ ได้อย่างรวดเร็ว ทันต่อเหตุการณ์และมีจำนวนมาก การตอบสนองของ Memory cell ดังนี้ การติดเชื้อโรคเดิมซ้ำ(re-infection) จะทำให้มีการตอบสนอง เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงมักจะไม่ทำให้เกิด "โรค"

อิมมูโนโกลบุลิน ( Immunoglobulin (Ig) ชนิดต่าง ๆ มีบทบาทในการป้องกันร่างกายแตกต่างกัน เนื่องจากจุลชีพส่วนใหญ่มักจะเข้าสู่ร่างกายทางเยื่อเมือก ซึ่งมักจะมีน้ำคัดหลั่งอาบอยู่ secretory Ig โดยเฉพาะ secretory IgA จะเป็นอิมมูโนโกลบุลินพวกแรกที่ร่างกายใช้ป้องกัน re-infection แต่ถ้าจุลชีพบุกรุกเข้าไปอยู่ในเนื้อเยื่อได้ ร่างกายจะใช้แอนติบอดีย์ชนิด IgG ซึ่งซึมผ่านจากกระแสโลหิตผ่านผนังเส้นเลือดออกมาอยู่ในเนื้อเยื่อได้มาก และจุลชีพที่อยู่ภายนอกเซลล์เนื้อเยื่อจะถูกทำลายด้วย IgG ถ้าจุลชีพเข้าสู่กระแสโลหิต ร่างกายจะใช้ IgG และ IgM ซึ่งเป็นอิมมูโนโกลบุลินที่มีอยู่มากในกระแสโลหิตเพื่อต่อต้านจุลชีพต่อไป



ยาต้านไวรัสโรคเอดส์ คือ

ยาต้านไวรัสโรคเอดส์ คือยาที่ทางการแพทย์รับรองว่าใช้ในการรักษาผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยโรคเอดส์ได้ ซึ่งในปัจจุบันมียาต้านไวรัสอยู่หลายชนิดด้วยกัน

     ยาต้านไวรัสโรคเอดส์ นั้นไม่ใช่ยารักษาโรคเอดส์ให้หายขาดได้ โดยยาต้านไวรัสเอดส์จะช่วยยับยั้งไม่ให้เชื้อไวรัสมีการแพร่พันธุ์ ทำให้เชื้อไวรัสเอดส์มีปริมาณที่ลดน้อยลงได้ ช่วยไม่ให้เชื้อไวรัสโรคเอดส์ทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ทำลายเชื้อโรคเพื่อปกป้องร่างกายของเรานั่นเอง

     ยาต้านไวรัสโรคเอดส์ หมายถึง ยาที่สังเคราะห์ขึ้นมาเพื่อหยุดยั้งหรือออกฤทธิ์ต้านการแบ่งตัว การยับยั้งการเกาะจับและเข้าเซลล์(Interference with attachment and entry) นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1987 ยาต้านไวรัสโรคเอดส์ตัวแรกมีจำหน่ายคือ AZT จนถึงปี ค.ศ.1996 เริ่มมีการใช้ยาต้านไวรัสโรคเอดส์หลาย ตัวผสมกัน  ( HAART = Hight Active Antiretroviral Therapy)จนทำให้เอดส์กลายเป็นโรคที่รักษาได้ แม้ไม่หายขาด มีกลไกการออกฤทธิ์ต่อเชื้อ HIV หลัก ๆ 4 กลไกคือ
   1.การยับยั้งขบวนการ Reverse Transcription (Inhibition of Reverse Transcription)
  2.การยับยั้งขบวนการ Integration (Inhibition of Proviral Integration)
  3.ทื การยับยั้ง Transcription
  4.การยับยั้ง Post-translation processing    
     
         ยาต้านไวรัสโรคเอดส์ที่มีใช้ทางคลินิกในปัจจุบัน (Current Antiretroviral Drug in Clinical Use) ในปัจจุบัน ยาต้านไวรัสโรคเอดส์ที่ได้รับการจดทะเบียนโดย U.S.FDA มีทั้งหมด 11 ชนิด ประกอบด้วยยา 4 กลุ่ม คือ
1) กลุ่ม Nucleoside analongues Reverse Transcriptase Inhibitors
2) กลุ่ม Nonnucleoside Reverse Transcriptase Inhibitors (NNRTIs)
3) กลุ่ม HIV-1 Protease Inhibitors
4) -กลุ่มอื่น ๆ เช่น  Fusion  Inhibitor , Integrase  Inhibitor

Trasnasfer Fasctor กับโรคเอดส์

 

Trasnasfer Fasctor กับการดูแลโรคเอดส์

          การทำงานของ Transfer Factor กับการดูแลโรคเอดส์นั้น Transfer Factor จะทำหน้าที่ในการเสริมสร้างค่า CD4+ ภายในร่างกาย ซึ่งจะทำการปรับค่าให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งผิดกับยาต้านไวรัสเอดส์ ซึ่งจะทำหน้าที่เพียงการควบคุมไม่ให้แสดงอาการของโรคออกมาเพียงเท่านั้น แต่จะไม่ได้ช่วยเพิ่มค่าของ CD4+ นอกจากนี้ Transfer Factor ยังจะทำหน้าที่ใน CD4+ ในการชี้เป้าให้กับเซลล์เม็ดเลือดขาว NK Cell เข้าไปทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อๆไวรัสในระบบ DNA  และยังเป็นตัวเพิ่มและปรับสภาพของระบบภูมิคุ้มกันให้กลับมาแข็งแรงเหมือน เดิม ซึ่งระบบภูมิคุ้มกันนี้เป็นสาเหตุของการเกิดโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง โดยปกติแล้วผู้ป่วยโรคเอดส์นั้นจะเสียชีวิต โดยภาวะโรคแทรกซ้อนมากกว่าเสีย ชีวิตจากโรคเอดส์โดยตรง เนื่องจากเมื่อระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอหรือบกพร่องจะทำ ให้ร่างกายได้รับเชื้อโรคอย่างง่ายดาย และไม่สามารถทำลายสิ่งแปลกปลอมภายในร่างกายได้ แต่การได้รับ Transfer Factor เข้าไปช่วยนี้ จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำหน้าที่ได้ตามปกติ ทำให้ไม่เกิดภาวะโรคแทรกจากโรคอื่นๆได้

การสังเกตุตนเองว่าติดเชื้อเอชไอวีหรือไม่  การติดเชื้อเอชไอวีมีลักษณะเป็นอย่างไร

        .ภายหลังการได้รับเชื้อเอชไอวี  ร่างกายต้องใช้เวลาในการสร้างปฏิกิริยาตอบสนองต่อเชื้อสักระยะหนึ่ง  ในปัจจุบันการวินิจฉัยว่าติดเชื้อหรือไม่ เราจะไม่ได้ตรวจหาเชื้อเอชไอวีโดยตรง แต่จะเป็นการตรวจหาว่าร่างกายว่ามีปฏิกิริยาต่อเชื้อหรือไม่ โดยการตรวจหา แอนติบอดีของเชื้อเอชไอวี (Anti-HIV antibody) ซึ่งการตรวจดังกล่าวอาจให้ผลลบได้ในกรณีที่ได้ รับเชื้อมาใหม่ ๆ เนื่องจากร่างกายยังไม่ได้สร้างปฏิกิริยาตอบสนอง (ควรตรวจหาอีกครั้ง หลังจากผ่านความเสี่ยงไปแล้วสัก 3 เดือนขึ้นไป )  ภายหลังการรับเชื้อเอชไอวี บางรายอาจไม่มีอาการใด ๆ เลย บางรายอาจมีอาการเหมือนการติดเชื้อไวรัสทั่ว ๆ ไป เช่น มีไข้  มีผื่นตามตัว มีต่อมน้ำเหลืองโต มีอาการเจ็บคอ โดยอาการเหล่านี้มักจะกินเวลาสั้น ๆ และหายไปได้เอง แล้วหลังจากนั้น ผู้ป่วยจะไม่มี อาการใด ๆ เลย อาการข้างต้นจะเหมือนหรือคล้ายกับการติดเชื้อหวัดธรรมดา ทำให้บางรายไม่ได้สังเกตุ ไม่ใส่ใจ หรือบางรายอาจคิดว่าเป็นแค่ไข้หวัดทั่วๆไป เลยทำให้การสังเกตุว่าติดเชื้อเอชไอวีหรือไม่ จากอาการข้างต้นเป็นไปได้ยาก

เมื่อคุณได้รับยาต้านไวรัส hiv

 

ยารักษาโรคเอดส์ (หรือยาต้านเชื้อไวรัส hiv)

.   ไวรัส hiv เป็นเชื้อที่ทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเชื้อชนิดนี้จะมีความจำเพาะกับเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งที่ชื่อทีลิมโฟ ไซต์ ซึ่งเป็นเม็ดเลือดขาว ที่ทำหน้าที่คุ้มกันป้องกันและทำลายการติดเชื้อโรคหรือสิ่ง แปลกปลอมชนิดต่างๆ เซลล์เม็ดเลือดขาว ชนิดนี้ที่เยื่อหุ้มเซลล์จะมีส่วนประกอบที่เรียกว่าซีดี4 ซึ่งเป็นตำแหน่ง สำคัญที่จำเพาะต่อการเกาะตัว ของอนุภาคของ เชื้อ ไวรัส hiv ดังนั้นจึงอาจเรียกทีลิมโฟไซต์ว่าเม็ดเลือดขาว ชนิดซีดี4 เมื่อเริ่มติดเชื้อใหม่ๆ จำนวนเชื้อไวรัสยังมีไม่มาก ก็ จะค่อยๆ เพิ่มจำนวนในร่างกายมากขึ้นๆ ด้วยการ ทำลาย ทีลิมโฟไซต์ชนิดนี้ไปเรื่อยๆ ถ้ายิ่งร่างกายอ่อนแอและภูมิต้านทานไม่ดี การเพิ่มจำนวนของไวรัสด้วยการทำลายเซลล์ทีลิมโฟไซต์ ก็จะยิ่งมีมากขึ้นและเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ทำให้จำนวนไวรัสมากขึ้น ดังนั้น การตรวจหาระดับความรุนแรงของโรคเอดส์ จึงสามารถตรวจด้วย การตรวจหาปริมาณทีลิมโฟไซต์ หรือเม็ดเลือดขาวชนิดซีดี4 (CD4 + T-cell) 


เมื่อคุณได้รับยาต้านไวรัส hiv

   อาการข้างเคียงที่พบบ่อย ได้แก่ มีไข้สูง มีผื่นลมพิษ เยื่อบุตาอักเสบ เยื่อบุปากอักเสบ หายใจขัดหรือหอบ เป็นต้น  ซึ่งยาต้านเชื้อไวรัส hiv ที่พบอาการข้างเคียงได้บ่อยที่สุดคือ เนวิราพิน (Nevirapine, NVP) นอกจากนี้ อาจพบอาการข้างเคียงอื่นๆ เช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ท้องอืด นอน ไม่หลับ  ฝันร้าย เป็นต้น อาการเหล่านี้มักเป็นในช่วงแรกของการใช้ยา และอาการจะค่อยๆ ดีขึ้นภายใน ๒ เดือน   แต่ถ้ามีอาการซีด ตับอักเสบ ตับอ่อนอักเสบ ชาปลายมือปลายเท้า นิ่วในไต น้ำตาลในเลือดสูง  จะมี ไขมันกระจายตัวผิดปกติ (ลงพุง ไขมันพอกที่ต้นคอ หน้าอก แต่หน้าตอบและแขนขาลีบ) โดยเฉพาะผู้ติดเชื้อที่เริ่มยาต้านฯ เมื่อ CD4+ ต่ำมาก ก็ควรกลับไปปรึกษาแพทย์

CD4+ กับคนเป็นโรคเอดส์

T-helper (CD4+) เกี่ยวอะไรกับคนเป็นโรคเอดส

    ในการสร้างภูมิจะต้องอาศัยเซลล์หลายชนิดที่สำคัญได้แก่ เซลล์ T-helper(CD4+) ซึ่งเป็นเซลล์ที่เชื้อ HIV ชอบ และเป็นที่ไวรัสเข้าไปติดอาศัยอยู่ในเม็ดเลือดขาวชนิดนี้มากที่สุด เมื่อเซลล์ T-helper(CD4+) ถูกทำลายโดยเชื้อมากจะทำให้ภูมิของร่างกายอ่อนแอ ดังนั้นปัญหาที่สำคัญของคนติดเชื้อHIVคือปัญหาของโรคที่จะเกิดจากการที่มี ภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลงเช่น โรคติดเชื้อฉวยโอกาส  (Opportunistic infections)เช่นโรคปอดบวมและโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ และมะเร็งบางชนิด โรควัณโรค ภายหลังการรับเชื้อบางรายอาจไม่มีอาการใด ๆ เลย บางรายอาจมีอาการเหมือนการติดเชื้อไวรัสทั่วๆ ไปเช่น มีไข้ ผื่นตามตัว ต่อมน้ำเหลืองโต เจ็บคอ อาการมักกินเวลาสั้นๆ และหายไปได้เอง หลังจากนั้นผู้ป่วยจะไม่มีอาการใด ๆ เลย เชื้อไวรัสโรคเอดส์ จะส่งผลให้ระดับเม็ดเลืดขาวที่เรียกว่า T-helper(CD4+) ลดลงอย่างช้าๆ จนผู้ป่วยเริ่มเกิดอาการของโรคเอดส์เกิดขึ้น เช่นฝ้าในปาก ผื่นคันตามตัว น้ำหนักลด โดยส่วนใหญ่มักเกิดอาการเมื่อระดับ T-helper(CD4+) ต่ำกว่า 200 cell/mm3

โรคเอดส์คือยังไง

โรคเอดส์คือยังไง คุณรู้ดีแค่ไหน?

โรคเอดส์เป็นแล้วหายได้หรือเปล่าครับ? 

      โรคเอดส์ หรือ AIDS (Acquired Immuno Deficiency Syndrome)  คือ กลุ่มอาการของความเจ็บป่วยที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสโรคเอดส์ หรือ เอชไอวี (HIV) ทำให้ร่างกายอ่อนแอลงเนื่องจากภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ป่วยเอดส์อาจมีอาการได้มากมายหลายอย่าง เช่น ไข้ ผื่นขึ้นตามตัว  การ ลุกลามของโรคเริม ปอดอักเสบ ท้องเสียเรื้อรัง ผอมลงและน้ำหนักตัวลดอย่างรวดเร็ว โรคเอดส์จัด เป็นโรคติดต่ออันตรายร้ายแรงโรคหนึ่ง เพราะผู้ติดเชื้อเอดส์ทุกรายจะเสียชีวิตในเวลาที่ไม่นานนัก ปัจจุบันยังไม่มียาใด ๆ ที่จะรักษาโรคเอดส์ให้หายขาดได้ และยังไม่มีวัคซีนที่จะใช้ป้องกันโรคเอดส์อย่างได้ผล เมื่อไวรัสโรคเอดส์เข้าสู่ร่างกายคนเรา จะมีระยะฟักตัว เพื่อเพิ่มจำนวนไวรัสระยะหนึ่งก่อนเกิดอาการต่าง ๆ

อาการของโรคเอดส์แสดงออกอย่างไร

      ผู้ติดเชื้อโรคเอดส์บางคนมีอาการของโรคภายใน 2-3 ปี แต่บางคนก็อยู่ได้นานนับ 10ปี หรือมากกว่านั้น โดยเข้าไปแพร่จำนวนในเม็ดเลือดขาว (Lymphocyte) แล้วทำให้เม็ดเลือดขาวซึ่งมีหน้าที่ทำลายเชื้อโรคต่าง ๆ กลับถูกทำลายเสียเอง  จึงเป็นเหตุให้ผู้ติดเชื้อโรคเอดส์ไม่สามารถป้องกันตนเองจากเชื้อโรคอันซึ่ง ไม่เคยทำให้เกิดโรคในคนปกติได้ เชื่อกันว่าผู้ติดเชื้อไวรัสโรคเอดส์ทุกคนจะกลายเป็นโรคเอดส์ในโอกาสต่อไป เนื่องจากไวรัสโรคเอดส์ มิได้ทำให้เกิดโรคกับคนโดยตรง แต่เป็นตัวทำให้ภูมิคุ้มกันของผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสโรคเอดส์ บกพร่องเสียหายไป อาการของผู้ป่วยโรคเอดส์จึงไม่มีอาการเฉพาะ ที่จะบอกได้ว่าเป็นโรคเอดส์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าเชื้อโรคที่ฉวยโอกาสทำให้เกิดโรค ในผู้รับเชื้อเอดส์นั้นเป็นเชื้ออะไร ดังนั้นผู้ป่วยเอดส์จึงมีอาการได้มากมายหลายระบบ เช่น ท้องเสีย ปอดอักเสบ ผิดหนังอักเสบ วัณโรค การติดเชื้อในระบบโลหิต เชื้อรา หรือมะเร็งบางชนิด อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายโรครวมกันได้ และทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตในที่สุด

โรคเอดส์ติดต่อกันได้อย่างไรบ้าง?

เชื้อไวรัสโรคเอดส์ จะติดต่อผ่านทางการสัมผัสของเยื่อเมือกหรือการสัมผัสสารคัดหลั่ง ซึ่งมีเชื้อ เช่น น้ำเลือด น้ำอสุจิ น้ำหล่อลื่นช่องคลอด น้ำเมือกที่หลั่งก่อนการหลั่งอสุจิ และนมมารดา อาจติดต่อผ่านเพศสัมพันธ์ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด หรือทวารหนัก หรือช่องปาก,การรับเลือด และผ่านทางการใช้ยาเสพติดฉีดเข้าเส้นเลือดร่วมกัน
     นอกจากนี้ โรคเอดส์ ยังมีโอกาสเสี่ยงติดต่อผ่านทางอื่นได้  เช่น การใช้ของมีคมร่วมกัน โดยไม่ทำความสะอาด, การเจาะหูโดยการใช้เข็มเจาะหูร่วมกัน การสักผิวหนัง หรือสักคิ้ว เป็นต้น แต่ก็มีโอกาสน้อยมาก ถ้าไม่โชครายจนเกินไป

Transfer Factor จากน้ำนมเหลือง

 
Transfer Factor จากน้ำนมเหลืองได้รับการทดสอบแยกต่างหาก  และพบว่าสามารถยกระดับการ ทำงานของเซลล์นักฆ่าตามธรรมชาติได้ เป็นพิเศษมากกว่าปกติถึง 103 เปอร์เซ็นต์ เหนือระดับค่าเฉลี่ยปกติ หากตัวเลขนี้ยังไม่น่าประทับใจเพียงพอ  เมื่อมีการนำทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ มาผสมผสานกับสารประกอบธรรมชาติอื่นๆ อีกหลากหลายชนิดที่ส่งเสริมภาวะภูมิคุ้มกัน มันก็สามารถเพิ่มระดับการทำงานของเซลล์นักฆ่าตามธรรมชาติได้ถึง 248 เปอร์เซ็นต์ เหนือระดับค่าเฉลี่ยปกติ

  กรณีการทดสอบบ่งบอกอะไร? พูดง่ายๆ ก็คือตัวเลขที่ไม่เคยมีมาก่อนเหล่านี้ช่วยยกระดับ ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ ให้อยู่ในระดับสูงสุดของรายชื่อผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสุขภาพที่เป็นตัวช่วย เสริมระบบภูมิคุ้มกัน นัยแฝง ใครก็ตามที่มีแนวโน้มว่าจะเจ็บป่วยได้ง่าย เช่น ไข้หวัด คออักเสบ หูติดเชื้อ ไซนัสอักเสบ ไข้หวัดใหญ่ ผิวเป็นผื่นบวมแดง จากการติดเชื้อ)อ่อนเพลียเรื้อรัง โรคติดเชื้อปรสิตและเชื้อรา เนื้องอก ภาวะภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เหงือกอักเสบ ฯลฯ จำเป็นต้องมองหาประโยชน์ของ Transfer Factors อย่างจริงจัง Transfer Factors แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดว่าเป็นตัวกระตุ้นภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติระดับแนว หน้าด้วยคุณประโยชน์อันกว้างขวาง ที่เสนอแนะได้ว่า Transfer Factors ไอโซเลทให้บางสิ่งบางอย่างมากกว่าสารประกอบประเภทกระตุ้นภูมิคุ้มกันชนิด อื่นๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน
.
     Transfer Factor ให้ประโยชน์แก่ทุกคนที่ต้องการเพิ่มระดับ ภูมิคุ้มกันโรคให้มากขึ้นเป็นพิเศษ กลุ่มคนที่ควร จะได้รับ การเพิ่มความแข็งแรงให้แก่ระบบภูมิคุ้มกันโรค มากที่สุดคือ เด็ก ผู้สูงอายุ และบุคคลที่อยู่ภายใต้ ความเครียดหรือความกดดัน โดยทั่วไปแล้ว ทุกคนแทบจะอยู่ในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งดังที่กล่าวมาแล้ว ทุกวันนี้พวก เราค่อนข้างที่จะพูดถึงกันมากเกี่ยวกับยุคแห่งการให้ กำเนิดบุตร ผู้คนส่วนใหญ่กำลังอยู่ในภาวะที่ระบบภูมิคุ้มกัน มีความแข็งแรงน้อยลง  Transfer Factors เป็นทางหนึ่งที่สามารถ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ระบบภูมิคุ้มกันโรค

Transfer Factor มีผลวิจัยรับรอง

Transfer Factor มีผลวิจัย
 

Transfer Factor 

       นับจนถึงวันนี้ มีการตีพิมพ์กรณีศึกษาทางคลีนิคและรายงานการวิจัยเกี่ยวกับ ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ มากกว่า 3,000 ชิ้น คะแนนจากนักวิทยาศาสตร์นานาชาติที่เป็นที่ยอมรับและแพทย์ได้มีการตีพิมพ์เผย แพร่ ประสิทธิภาพและความปลอดภัยของ Transfer Factors เป็นเวลากว่า 18 ปี  ล่าสุดที่มีการประมาณการว่า มีการใช้เงินถึง 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในการค้นคว้าวิจัยและศึกษาข้อมูล ที่ให้ข้อเสนอแนะอย่างหนักแน่นว่า Transfer Factors ให้คุณประโยชน์ต่อ ภูมิคุ้มกันอย่างวิเศษสุด มีการบันทึกไว้เป็นเอกสารและการรับรอง ผลทางวิทยาศาสตร์ว่า การปรากฎขึ้นของ Transfer Factors ถือเสมือนเป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญ อย่างยิ่งต่อการดูแล รักษาสุขภาพในระดับโลก
.
     เมื่อเร็วๆ นี้ มีการจัดประชุมทางวิชาการเกี่ยวกับ Transfer Factors ขึ้นในประเทศอิตาลีซึ่งนักวิจัยทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ ดร. ดี วิซ่า (Dr.D Viza) ได้บรรยายเกี่ยวกับศักยภาพของ ทTransfer Factor ในสมัยนี้ เมื่อ"จำนวนรวมของโรคหลากหลายชนิดที่เกิดขึ้น เช่น มะเร็ง พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อใดก็ตามที่ เราสามารถกระตุ้นการทำงานของเซลล์นักฆ่าตามธรรมชาติ (NK cells : Natural killer cells หรือ เซลล์ภูมิคุ้มกัน ที่ทำหน้าที่ค้นหาและทำลายผู้บุกรุกซึ่งแปลกปลอมเข้ามา) เราก็จะเพิ่มความสามารถของเราที่จะต่อสู้กับโรคได้ อย่างมหาศาล
.
     ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1999 (พ.ศ.2542) วารสารNutrสมาคมอาหารเสริมสุขภาพแห่งอเมริกัน(Journal of the American Nutraceutical Associations) ได้ตีพิมพ์การคัดเลือกผลิตภัณฑ์ธรรมชาติหรือผสมผสานกัน จำนวน 196 ชนิด ซึ่งคัดจากผลิตภัณฑ์ที่ทำการทดสอบมากกว่า 500 ชนิด โดยได้ค้นพบผลิตภัณฑ์ 44 ชนิด ว่าสามารถกระตุ้นการทำงานของเซลล์นักฆ่าตามธรรมชาติได้อย่างมีนัยสำคัญ ผลิตภัณฑ์ที่ทรงพลังที่สุดในจำนวนเหล่านี้สามารถเพิ่มอัตราการทำงานของเซลล์ นักฆ่าตามธรรมชาติได้ถึง48.6 เปอร์เซ็นต์

ผู้ค้นพบ Transfer Factor

ใครคือผู้ค้นพบ “Transfer Factor” ?

 Dr.H.Sherwood Lawrence      ข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับโมเลกุลหรือ สารส่งผ่านระบบภูมิคุ้มกัน ที่เรียกว่า Transfer Factors ได้ถูกค้นพบครั้งแรก โดยนักวิจัยของมหาวิทยาลัย New York ที่มีชื่อว่า ดร.เอช เชอร์วู้ด ลอเลนซ์ (Dr.H.Sherwood Lawrence) ใน ปี ค.ศ. 1949 หรือ พศ.2492  ดร.เชอร์วูด ลอเรนซ์ ได้ค้นพบสิ่งที่นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ในขณะที่เขากำลังทำการศึกษาเกี่ยวกับวัณโรคเขาได้ข้อสรุปว่าปฏิกิริยาตอบ สนองของภูมิคุ้มกันโรคนั้นสามารถที่จะถูกถ่ายทอดจาก "ผู้บริจาค" ไปยัง "ผู้รับบริจาค" ได้โดยการฉีด  สารที่ถูกสกัดจากผิวของเซลล์เม็ดเลือดขาว Lymphocyte ของผู้บริจาคที่เคยเป็นวัณโรค และได้รับการรักษาจนหายขาดแล้ว (หมายถึง "ผู้บริจาค" เคยป่วยด้วยโรค วัณโรคแล้วหาย สามารถบริจาคภูมิคุ้มกันโรคของตนให้กับ "ผู้รับบริจาค" ที่ยังไม่เคยป่วย ให้มีระบบภูมิคุ้มกันวัณโรคเหมือน "ผู้บริจาค")  ดร.ลอเรนซ์ ค้นพบว่าสิ่งที่ถูกสกัดออกมานี้มีส่วนประกอบที่สามารถช่วยในการถ่ายทอดภูมิ คุ้มกัน ดังนั้นเขาจึงตั้งชื่อส่วนประกอบนี้ว่า "Transfer Factor" การค้นพบของ ดร.ลอเรนซ์ ได้เกิดขึ้นในระยะเวลาเดียวกันกับการค้นพบอื่น ๆ ซึ่งรวมไปถึงการใช้ยาปฏิชีวนะ

        Transfer Factors ได้ถูกนำมาใช้ในภูมิภาคต่างๆ ของโลก เช่นในประเทศจีน โปแลนด์ อิตาลี และประเทศอื่นๆ แต่อย่างไรก็ตาม Transfer Factor ไม่ได้ถูกผลิตและวางขายเพื่อการค้า เนื่องจากความไม่พร้อมด้านเทคโนโลยี

       ต่อมาใน คศ.1989 หรือ พศ.2532 นักวิจัยสองท่านได้ทำการวิจัยกระบวนการในการสกัด “ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์”จากนมน้ำเหลืองของวัวเป็นผลสำเร็จ จึงได้ทำการจดสิทธิบัตรที่ให้ผลในรูปของสารสกัด เข้มข้น หมายเลขอ้างอิงสิทธิบัตรคือ “สิทธิบัตรแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาหมายเลข 4816563”นับจนถึงวันนี้ ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ มีผลบันทึกความปลอดภัยอันยอดเยี่ยมจากรายงานการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์กว่า 3,000 ชิ้น ทำให้เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าของ ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ ได้รับการรับรองจากหลากหลายองค์กรทั้งจากหนังสืออ้างอิงทางการแพทย์ ชื่อ PDR ซึ่งถูกตีพิมพ์เพื่อให้แพทย์ทั่วโลกใช้เป็นหนังสืออ้างอิงมานานกว่า 50 ปี นอกจากนั้น
กลับขึ้นบน

Transfer Factor กับการยอมรับโดยทั่วไป

- ศูนย์วิจัยมะเร็ง AMC ยังได้ยอมรับและสนับสนุนให้ใช้ “Transfer Factors ”ในการรักษามะเร็ง
- กระทรวงสาธารณสุขรัสเซียได้อนุญาตให้นำ 4life ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ ไปใช้ในคลีนิคสถานพยาบาลและโรงพยาบาลของรัฐ องค์การอาหารและ
- อาหารเสริมอิสลามแห่งสหรัฐอเมริกา(ฮาลาล)
ได้ออกใบรับรองให้ใช้ Transfer Factors ได้ เหล่านี้ล้วนแสดงให้เห็นว่า Transfer Factors เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพ และ ความปลอดภัยสูงในการเพิ่มภูมิคุ้มกัน ให้กับร่างกายมนุษย์
- หนังสือ PDR
ได้ลงเรื่องราวของผลิตภัณฑ์ Transfer Factors ตั้งแต่ปี 2007- ปัจจุบัน

ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ คืออะไร?

 ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ คืออะไร?

 


         Transfer Factor คือโปรตีนขนาดเล็กที่จะส่งผ่านความสามารถในการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน จากผู้บริจาคที่มี ภูมิคุ้มกัน แล้วผ่านไปสู่ผู้รับที่ไม่มี ภูมิคุ้มกัน ระบบภูมิคุ้มกัน คือ ระบบที่คอยปกป้องร่างกายของเราจากสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ที่อาจเข้ามาทำอันตรายร่างกายเราได้ เช่น เชื้อโรคชนิดต่างๆ ได้แก่ ไวรัส, แบคทีเรีย, ปรสิต รา, พยาธิ รวมถึงสิ่งแปลกปลอมอื่นๆ ฆ่าทำลายเซลล์ที่ผิดปกติ เซลล์ติดเชื้อทุกชนิด เซลล์ที่กำลังเจริญเติบโตไปเป็นมะเร็งชนิดต่างๆ     
         ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์(Transfer Factor) เป็นสารโมเลกุลที่ทำหน้าที่ติดต่อและสื่อสารเกี่ยวกับสิ่งแปลกปลอมระหว่าง เซลล์  ซึ่งถ่ายทดทอดจากผู้ให้(donor)ไปสู่ผู้รับ(recipient) ได้ ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์นี้จะสนับสนุนกิจกรรมทางภูมิคุ้มกันผ่านทางระบบภูมิคุ้มกันแบบ cell-mediated immunity(CMI) ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ ทำหน้าที่นำข้อมูลเฉพาะที่มีต่อสิ่งแปลกปลอม จากการตอบสนองของเซลล์ภูมิคุ้มกัน  ถูกสร้างมาจากเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด Mononuclear ซึ่งมีความสามารถในการจดจำสิ่งแปลกปลอมและกระตุ้นเซลล์ที่ทำหน้าที่ในด้าน ภูมิคุ้มกันในร่างกายให้ตอบสนองอย่างมีแบบแผน
        ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์  ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม  รวมถึงของมนุษย์  เป็นสารโมเลกุลที่มีน้ำหนักโมเลกุลระหว่าง 3,500-10,000 ดาลตัน(Daltons) และเป็นสายโพลีเปบไทด์ที่ประกอบด้วยกรดอะมิโนประมาณ 40-44 ตัวต่อกัน  ที่มีทั้งส่วนที่คล้ายคลึงและแตกต่างกันเป็นช่วงๆ(conserved region และ variable region) จากหลักการทางชีววิทยาโมเลกุล 2 ส่วนนี้ มีลักษณะที่คล้ายคลึงกันกับแอนติบอดี้(antibody) อย่างไรก็ตามการทำงานของทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์  จะทำหน้าที่ในด้านระบบภูมิคุ้มกันต่อต้านระดับเซลล์ (cell mediated munity,CMI)และ กิจกรรมทางภูมิคุ้มกันที่ไม่จะเพาะ(non-specific immunological activity) ซึ่งจะมีความแตกต่างอย่างชัดเจนกับการทำงานของแอนติบอดี้  ขนาดของโมเลกุลที่เล็กกว่า 3,500 ดาลตัน จะช่วยปรับสมดุลการตอบสนองของภูมิคุ้มกันได้เช่นกัน  แต่มันจะไม่ถ่ายทอดภาวะภูมิแพ้แบบช้า(delayed – type hypersensitivity)หรือปฏิกิริยาตอบสนองทาง CMI
       4ไล้ฟ์ ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ ได้มาจากการกรองแบบละเอียด ของหัวน้ำนม(colostrum)และจากไข่แดง  สำหรับโมเลกุลที่ได้มาจากการกรองอย่างละเอียดและถูกฉีดให้เป็นละอองฝอยรวม ถึงทำให้แห้งของหัวน้ำนมของวัวประกอบด้วยสารสำคัญ 2 ประเภท  คือ ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ที่มีอยู่ในของเหลวที่ผ่านการกรองแบบละเอียด  ซึ่งมีน้ำหนักโมเลกุลน้อยกว่าหรือเท่ากับ 10,000 ดาลตัน  และโมเลกุลนาโนแฟรกชั่น  ซึ่งมีอยู่ในของเหลวที่ผ่านการกรองแบบนาโนและมีน้ำหนักโมเลกุลน้อยกว่าหรือ เท่ากับ 3,500 ดาลตัน

Transfer Factors สิ่งนี้คุณอาจยังไม่รู้จัก


.


    Transfer Factors สิ่งนี้คุณอาจยังไม่รู้จัก มันมีความสำคัญอย่างมากต่อสุขภาพร่างกายของคนเรา เพราะทุกวันนี้ผู้คนเจ็บป่วยด้วยโรคแปลกๆมากมาย โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวกับเซลล์ ไวรัส และระบบภูมิคุ้มกัน เช่น มะเร็ง โรคเอดส์ ไวรัสตับ โรค SLE โรครูมาตอยด์ โรคสะเก็ดเงิน โรคเหล่านี้ จะมีแค่ยาบรรเทา ถือเป็นเหล่าโรคที่รักษายาก และผู้ป่วยที่เป็นก็อยากหาย ทำให้ต้องดิ้นรนหาทางรักษา มันเป็นหนทางที่มืดมน ไม่มีคำยืนยันเรื่องของการรักษาที่แน่นอน คือหาคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์มารองรับไม่ได้ แต่ก็ยอมที่จะรักษาแม้จะไม่มีการยืนยัน ขอให้ไม่เป็นพิษก็ใช้ได้ ทางเลือกของการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ด้วยการดุแลระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงก่อน มีคำกล่าวที่ว่า " โรคทุกชนิดไม่สามารถอยู่ได้ ในร่างกายที่แข็งแรง " 
    เวลาเราเจ็บป่วย พละกำลังเราจะถดถอยมาก เพราะร่างกายต้องสูญเสียพลังงานไปให้กับการสู้กับโรค แต่ถ้าเรากำจัดโรคได้ร่างกายเราก็จะพื้นและมีกำลังคืนมาอย่างรวดเร็ว มีหลายอาการที่เราควร สังเกตเกี่ยวกับสัญณานเตือนการเกิดโรค เช่น ปวดหลัง ปวดหัว ปวดท้อง ก้อนในท้อง ไตอักเสบ ตัวเหลือง ตาเหลือง ถ่ายไม่ปกติ เวียนหัว คลื่นไส้ เป็นลมบ่อย ผิวหนังอักเสบ ระบบย่อยอาหารไม่ดี นอนไม่หลับ ผอมแต่มีพุง กล้ามเนื้ออักเสบ กล้ามเนื้อกระตุก ฯลฯ อาการเหล่านี้ที่เกิด หลายคนก็ไม่ใส่ใจ ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ทำให้เกิดเป็นโรคร้ายรักษายากในที่สุด การดูแลสุขภาพ เป็นเรื่องสำคัญเพราะเราไม่รู้ลึกภายในร่างกายมันเป็นอย่างไร ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายเราต้องการ Transfer Factor
.
      ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพมากมายพบว่าศักยภาพด้านสุขภาพของ “Transfer Factor” เป็นการค้นพบอันน่าตื่นเต้นที่สุดทางด้านภูมิคุ้มกัน และ การป้องกันโรค เราพบว่า “Transfer Factorไม่ใช่วิตามิน แร่ธาตุ สมุนไพร ฮอร์โมน หรือ ยา หากแต่ Transfer Factor เป็น กุญแจสำคัญของสุขภาพเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบ ป้องกันภัยของร่างกายโดยใช้ภูมิคุ้มกันของตัวเอง  ในบรรดาตัวสร้างภูมิคุ้มกัน ตามธรรมชาติทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ในตอนนี้ Transfer Factor ให้คุณค่าเกินความหวังและมีความชัดเจนด้านประสิทธิภาพมากที่สุดในปัจจุบัน
ไม่มีสิ่งแปลกปลอม ไม่มีสิ่งใดที่เป็นพิษ ยังส่งเสริมและฟื้นฟูให้อวัยวะทุกส่วนทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

โรคมะเร็ง

 

มะเร็ง เป็นสาเหตุของการตายอันดับหนึ่งของคนไทย ทั้งนี้ จากข้อมูลสถิติปัจจุบันพบว่าในปี 2552 มีผู้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งและเนื้องอกทุกชนิดรวม 56,058 คน คิดเป็นอัตราการตาย 88.34 ต่อประชากร 100,000 คน  การรักษามะเร็งที่ เราทราบกันก็มีอยู่ 3 อย่างด้วยกันคือ ผ่าตัด ฉายรังสี และเคมีบำบัด แต่ก็ยังมียาพิเศษที่ใช้ในการรักษาร่วมที่บางคนก็ทราบ และผมเชื่อว่าหลายคนยังไม่ทราบ ลองอ่านดูเพื่อประดับความรู้ เป็นความรู้รอบตัวครับ เอายารักษามะเร็งยอดฮิตก็แล้วกัน.

     เหตุที่การรักษามะเร็งมันยาก มันจึงทำให้คนเสียชีวิตมาก และกว่าที่ผู้ป่วยจะรู้ตัวว่าเป็นมะเร็งก็ โดนมะเร็งทำลายอวัยวะและเนื้อเยื่อของร่างกายแทบย่อยยับไปหมดแล้ว แต่ความเป็นจริง เซลล์ในร่างกายเรานั้น หากยังไม่หมดอายุไข มันก็จะต้องซ่อมแซมและสร้างเสริมเซลล์ขึ้นมาใหม่ สร้างขึ้นมาแทนเซลล์ที่ตายไป ดังนั้น หากคุณสามารถฆ่ามะเร็งไป ได้ และฆ่าแบบธรรมชาติ เพราะหากฆ่าแบบธรรมชาติ ร่างกายจะสร้างเซลล์ขึ้นมาทดแทน แบบไม่ให้คุณทรุด สารอาหารคือคุณค่าที่จะทำให้กิจกรรมซ่อมแซมร่างกายคุณคืนมาได้ แต่ปัญหาคือมะเร็งมมัน จะหายออกไปได้อย่างไร ปัญหาตรงนี้เป็นความท้าทายของนักวิทยาศาสตร์ และก็มีคนคิดสูตรยาขึ้นมาได้ แต่ก็ยังต้องเสี่ยงกับผลข้างเคียง ที่จะตามมา ผู้ป่วยจะต้องอยู่ใกล้ชิดแพทย์เสมอ ทนได้ก็หาย แต่ทุนต้องมีพอ เพราะสูตรยาแต่ละชนิดนั้นมันแพงอย่างมากเลยทีเดียว สำหรับชาวบ้านทั่วไป  ตรวจราคาดูนะครับ รู้แล้วอย่าได้ประมาทเรื่องมะเร็งนะครับ มะเร็งป้องกันได้ แต่รักษายาก มาดูราคายารักษา กันครับ

ยาฉีดรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลือง

ยาฉีดรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลือง
 ราคาเข็มละ 69,157 บาท

ยาริทูซิแมบ (Rituximab) สำหรับรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลือง ซึ่งจัดเป็นยาที่ดีในการรักษามะเร็ง และก็ถือว่าจำเป็น แต่มีราคาแพง โดยตกราคา เข็มละ 69,157 บาท ต้องใช้ต่อคอร์ส หรือประมาณปีละ 829,884 บาท
     Rituximab (ชื่อทางการค้า Rituxan, ยา MabThera และ Zytux)

หลักการทำงานของยา เป็นโมโนโคลนอลแอนติบอดีลูกผสมกับ CD20 โปรตีนซึ่งเป็นที่พบมากที่สุดบนพื้นผิวของระบบภูมิคุ้มกันของเซลล์ B rituximab ทำลายเซลล์ B
และ ดังนั้นจึงถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคที่มีความโดดเด่นโดยตัวเลขที่มากเกินไป ของเซลล์ B, B เซลล์ไวเกินหรือB เซลล์ที่ผิดปกติ ซึ่งรวมถึงมะเร็งต่อมน้ำหลาย leukemias, ปฏิเสธการปลูกถ่ายเนื้อเยื่อ และโรคแพ้ภูมิตัวเอง
 

ยาฉีดรักษามะเร็งเต้านม

ยาฉีดรักษามะเร็งเต้านม

ราคาเข็มละ 98,340 บาท

  go to up
    ยาทราสทูซูแมบ (Trastuzumab) รักษามะเร็งเต้านม โดยมีราคาเข็มละ 98,340 บาท หากต่อคอร์สจะตกค่ารักษาประมาณปีละ1,180,080 บาท   Trastuzumab (INN; ชื่อทางการค้า Herclon, Herceptin)
หลักการทำงานของยา Trastuzumab เป็นโมโนโคลนอลแอนติบอดีที่จะรบกวน  HER receptors ของมะเร็งเต้านม การใช้หลักของมันก็คือการรักษามะเร็งเต้านม  แต่ก็มีความเสี่ยงของการเสียชีวิตโดยมีความเสี่ยงแน่นอนของ 3% เพราะไปเพิ่มปัญหาทำให้หัวใจเต้นรุนแรง โดยมีความเสี่ยงแน่นอนของ 2.1%  ซึ่งอาจแก้ไขถ้าการรักษาหยุดลง

ยาฉีดรักษามะเร็งลำไส้

ยาฉีดรักษามะเร็งลำไส้
ราคาเข็มละ 21,602.50 บาท

 

  ยาบีวาซีซูแมบ (Bevacizumab) ยารักษามะเร็งลำไส้ มีค่ายาฉีด เข็มละ 21,602.50 บาท หากต่อคอร์สจะตกค่ารักษาประมาณปีละ1,036,920 บาท 
Bevacizumab (ออกเสียง / เบฟ-A-Sizz-UH-mab / ชื่อการค้ายา Avastin, Genentech / โรช)
หลักการทำงานของยา เป็นสารยับยั้งการเจริญเติบโตของหลอดเลือด และยับยั้งการสร้างเส้นเลือดใหม่ของมะเร็ง  ใช้สำหรับมะเร็งระยะลุกลาม และใช้งานร่วมกับยาเคมีบำบัด สำหรับรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ ในระยะลุกลาม มะเร็งปอด, มะเร็งไต, มะเร็งรังไข่, มะเร็งเต้านมและ glioblastoma multiforme ของสมอง

ยาเม็ดรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาว

ยาเม็ดรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาว
มะเร็งกระเพาะอาหารและลำไส้

ราคาเม็ดละ 4,094 บาท


    ยาอิมาทินิบ (Imatinib) เป็นยารักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง และมะเร็งกระเพาะอาหารและลำไส้ ตกเม็ดละ 4,094 บาท หากต่อคอร์สจะตกค่ารักษาปีละ 1,494,310 บาท
   Imatinib (INN)  บางครั้งเรียกตามชื่อ investigational ของ STI-571

หลักการทำงานของยา เป็นสารยับยั้งไทโรซีนไคเนส (Tyrosine-kinase receptor ) ชึงเป็นตัวรับ (Receptors) เพื่อรับเอาพลังงานเข้าสู่เซลล์ เป็นแหล่งจายพลังงานให้กับเซลล์มะเร็ง เป็นผลทำให้เซลล์เหล่านี้หยุดการเจริญเติบโต และแม้กระทั่งถึงตายด้วยกระบวนการของการตายของเซลล์ (apoptosis)  Imatinib จะทำงานในรูปแบบของ ปักเป้าหมายเซลล์มะเร็งการรักษาอย่างเดียว โดยมะเร็งจะ ถูกฆ่าตาย ผ่านการกระทำของยา  ในการนี้ทำให้นักพัฒนาของ Imatinib ได้รับรางวัล Lasker รางวัลในปี 2009 และได้รับรางวัลที่ญี่ปุ่นในปี 2012

ยาเม็ดรักษามะเร็งปอด

ยาเม็ดรักษามะเร็งปอด

ราคาเม็ดละ 3,086 บาท


ยาเออโรทินิบ (Erlotinib) รักษามะเร็งปอด ราคาตกอยู่ที่เม็ดละ 3,086 บาท ต่อคอร์สต้องได้รับการรักษาปีละ 1,126,390 บาท
Erlotinib  hydrochloride (ชื่อการค้ายา Tarceva) เป็นยาที่ใช้ในการรักษามะเร็งปอด  มะเร็งตับอ่อนและ มะเร็งประเภทอื่น ๆ  มันเป็นสารที่ยับยั้ง ไทโรซีนไคเนส ของเซลล์มะเร็ง
หลักการทำงานของยา จะไปรบกวนการทำงานของ ไทโรซีนไคเนส (Tyrosine kinase Receptor) ที่เป็นแหล่งรับพลังาน หรือ ฮอร์โมนการเจริญเติบโต (Growth Hormon) ทำให้เซลล์มะเร็งตายเพราะขาดปัจจัยการเจริญเติบโต

ยาเม็ดรักษามะเร็งปอด

ยาเม็ดรักษามะเร็งปอด #2

ราคาเม็ดละ 2,463 บาท


ยาจีฟิทินิบ (Gefitinib) รักษามะเร็งปอด ราคายาตกเม็ดละ 2,463 บาท รวมราคาต่อคอร์สการรักษาปีละ 898,995 บาท

Gefitinib (INN / ??f?t?n?b / ชื่อทางการค้า Iressa วางตลาดโดยแอสตร้าและ Teva) เป็นยาที่ใช้สำหรับ มะเร็งเต้านมบางปอดและมะเร็งอื่น ๆ

หลักการทำงานของยา Gefitinib เป็นโมโนโคลนอลแอนติบอดี เป็นสารยับยั้ง EGFR เช่น Erlotinib ซึ่งจะขัดจังหวะการส่งสัญญาณผ่านเครื่องรับปัจจัยการเจริญเติบโตที่ผิวหนัง gefitinib ถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคมะเร็งปอดที่ไม่ใช่เซลล์ขนาดเล็ก (non-small cell lung cancer)ในคนที่ได้รับการรักษาแล้วกับบางอย่างยาเคมีบำบัดอื่น ๆ และยังไม่ดีขึ้นหรือมีสภาพที่เลวลง gefitinib ยังไม่ได้รับการแสดงที่จะช่วยให้คนที่มีมะเร็งปอดที่ไม่ใช่เซลล์ขนาดเล็กอยู่อีกต่อไป มียาอื่น ๆ ที่อาจช่วยให้ผู้คนที่มีมะเร็งปอดที่ไม่ใช่เซลล์ขนาดเล็กมีอยู่อีกต่อไป ดังนั้นคนเพียงคนเดียวที่ได้รับ gefitinib แล้วและได้รับประโยชน์จากการใช้ยาควรจะยังคงที่จะนำไป คนที่ไม่เคยได้รับการ gefitinib ควรเริ่มต้นการรักษาด้วยยาที่เป็นที่รู้จักที่จะช่วยให้ผู้ป่วยที่มี มะเร็งปอดมีชีวิตอยู่อีกต่อไป gefitinib อยู่ในคลาสของยาที่เรียกว่าสารยับยั้งไคเนส มันทำงานโดยการปิดกั้นการกระทำของสารที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติบางอย่างที่อาจมีความจำเป็นที่จะช่วยให้เซลล์มะเร็งเติบโตอย่างทวีคูณ